วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สรุปหลัง Mid-term

1. คำศัพท์เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
    1.1 การส่งสัญญาณ Multicast คือ เป็นการสื่อสารระหว่างผู้ส่ง 1 ราย กับผู้รับหลายรายบนระบบเครือข่าย การส่งข้อมูลไปยังจุดหนึ่งไปได้ทางหลายๆ จุด ดังนั้น การส่งข้อมูลแบบ Multicast จะต้องส่งโดยใช้ Multicast Address ที่เป็น IP Address ที่อยู่ในคลาส D  เครื่องที่จะส่งหรือรับข้อมูลได้นั้นจะต้องอยู่ใน Multicast Group เท่านั้น


    1.2 Proxy Server คือ ให้บริการเก็บข้อมูล เว็บไซต์ต่างๆ ที่ได้มีการเรียกใช้ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อจัดเก็บข้อมูลที่เคยถูกเรียกใช้นั้นไว้ในเครื่อง เพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้ข้อมูลนั้นซ้ำได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาเรียกข้อมูลมาจากแหล่งข้อมูลภายนอกและเป็นการลดปริมาณการจราจรของข้อมูลที่วิ่งบนระบบเครือข่ายที่ออกไปนอกเครือข่าย


     1.3 สาย UTP (Unshielded Twisted Pair) คือ สายที่ข้างในมีสายเส้นเล็กอยู่ 8 เส้น ตีเกลียวเป็นคู่มีอยู่ 4 คู่ การตีเกลียวคู่เป็นการลดสัญญาณรบกวนของข้อมูล การใช้งานจะต้องมีการแค้มหัว RJ-45 เข้ากับสาย UTP หรือที่เราเรียกว่า สายแลน แล้วนำไปเสียบเข้ากับ Hub มีความเร็วในการรับส่งข้อมูล 10/100 Mbps ข้อเสียของสาย UTP คือ ไม่สามารถส่งข้อมูลในระยะที่เกิน 100 เมตรได้ดีพอ ถ้าระยะไกลกว่านี้จะทำให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตจะหลุดบ่อย




     1.4 มาตรฐาน 802.11g คือ ใช้ความถี่ 2.4 GHz สามารถรับ-ส่งข้อมูลที่ความเร็ว 36-54 Mbps มาตรฐาน 802.11g นี้ ปัจจุบันเป็นที่นิยมใช้ของผู้ใช้จำนวนมากและเข้ามาแทนมาตรฐาน 802.11b ที่มีความเร็วต่ำกว่า


     1.5 Firewall คือ ระบบรักษาความปลอดภัยของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย มีทั้งอุปกรณ์ซอต์ฟแวร์ ฮาร์ดแวร์ โดยหน้าที่หลักๆ ของ Firewall จะทำหน้าที่ควบคุมการใช้งานของ Network ต่างๆ ว่า ใคร ไปที่ไหน ด้วยบริการอะไร



     1.6 Cloud Computing คือ การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ เป็นลักษณะการทำงานของผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตที่ให้บริการใดบริการหนึ่งแก่ผู้ใช้ โดยผู้ให้บริการจะแบ่งปันทรัพยากรแก่ผู้ที่ต้องการใช้งาน



     1.7 ISP (Internet Service Provider) คือ ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต การให้บริการทางอินเตอร์เน็ต การดูแลเว็บไซต์ การตรวจสอบข้อมูลที่ผ่านออกไปลงในเว็บ โดยผู้ให้บริการจะเชื่อมโยงลูกค้าเข้ากับเทคโนโลยีรับส่งข้อมูลที่เหมาะสมในการส่งผ่านอุปกรณ์โปรโตคอลอินเตอร์เน็ต



     1.8 Corer Layer คือ เป็นศูนย์กลางของระบบ Network หน้าที่หลักของ Layer นี้คือทำสิ่งที่เรียกว่า Forword Packet โดยตัวมันจะรับ Packet ที่อยู่ใน Layer ต่างๆ มาแล้วทำการ Forword ออกไป โดยบนตัวมันจะบรรจุเส้นทางหรือ Routing Table เพื่อที่จะได้ทำการ Forword Packet ไปยัง Network ต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง Core Layer นี้เหมาะสำหรับการออกแบบในระบบ network ที่มีขนาดใหญ่ เช่น มหาวิทยาลัย



     1.9 Star Topology คือ เป็นรูปแบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันในเครือข่าย จะต้องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ตัวกลางตัวหนึ่งที่เรียกว่า ฮับ หรือสวิตซ์ หรือเครื่องๆหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อสายสัญญาณที่มาจากเครื่องต่างๆ ในเครือข่ายและควบคุมเส้นทางการสื่อสารทั้งหมด เมื่อมีเครื่องที่ต้องการส่งข้อมูลไปยังเครื่องอื่นๆ ที่ต้องการในเครือข่าย เครื่องนั้นก็จะต้องส่งข้อมูลมายัง Hub หรืเครื่องศูนย์กลางก่อน แล้ว Hub ก็จะทำหน้าที่กระจายข้อมูลนั้นไปในเครือข่ายต่อไป



     1.10 สถาปัตยกรรม แบบ P2P (Peer to Peer) คือ เป็นระบบเครือข่ายขนาดเล็กและเหมาะกับหน่วยงานที่มีคอมพิวเตอร์น้อยกว่า 10 เครื่อง ระบบ Peer to Peer นี้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง สามารถเข้าไปใช้ไฟล์ที่เก็บบนเครื่องไหนก็ได้ software ที่ใช้คือ Windows การติดตั้งเพียงแต่เพิ่มอุปกรณ์ที่เรียกว่า Lan Card ในแต่ละเครื่องคอมพิวเตอร์ และต่อสายแลนเข้าไปสู่ อุปกรณ์ที่เป็นตัวกลาง ซึ่งเรียกว่า Hub หากเปรียบเทียบแล้วเทคโนโลยีระบบเครือข่ายแบบ Peer to Peer จะมีการทำงานในลักษณะที่เป็น Decentralization ส่วนระบบ Client Server มีการทำงานเป็นแบบ Centralization


2. หลักการออกแบบระบบเครือข่ายต้องคำนึงถึงคุณสมบัติ 4 ประการ ได้แก่
     2.1 Fualt Tolerance คือ ความสามารถของระบบที่จะทำงานต่อไปได้ ในสภาวะที่มีความเสียหายเกิดขึ้น โดยมีเป้าหมาย คือป้องกันการล้มเหลวของการทำงานของระบบเท่าที่สามารถทำได้

     2.2 Scalability คือ เป็นการออกแบบเพื่อให้รองรับการขยายตัวระบบ SCADA กับส่วนต่างๆได้
     2.3 Quality of Service คือ เป็นตัวกำหนดชุดของคุณสมบัติของประสิทธิภาพของการติดต่อ หรือเรียกว่าเป็นการส่งข้อมูลในเครือข่ายโดยรับประกันว่าการส่งข้อมูลจะเป็นไปตามคุณภาพหรือเงื่อนไขที่ต้องการ
     2.4  Security คือ เปรียบเสมือน "ยาม" ที่ช่วยปกป้องจากการทำอันตราย  จากสื่อต่างๆที่เรานำเข้ามาเองโดยที่ผู้ใช้ไม่ทันได้ระวัง

3. มาตรฐาน OSI 7 Layer

 
 
    Layer 7 Application Layer เป็นชั้นที่อยู่บนสุดของขบวนการรับส่งข้อมูล ทำหน้าที่ติดต่อกับผู้ใช้ โดยจะรับคำสั่งต่างๆ จากผู้ใช้ส่งให้คอมพิวเตอร์แปลความหมาย และทำงานตามคำสั่งที่ได้รับในระดับโปรแกรมประยุกต์ เช่น การแปลความหมายของการกดปุ่มเมาส์ให้เป็นคำสั่งในการก็อปปี้ไฟล์ หรือดึงข้อมูลมาแสดงผลบนจอเป็น Browser เป็นต้น



 
    Layer 6 Presentation Layer เป็นชั้นที่ทำหน้าที่ตกลงกับคอมพิวเตอร์อีกด้านหนึ่งในชั้นเดียวกันว่า การรับส่งข้อมูลในระดับโปรแกรมประยุกต์จะมีขั้นตอนและข้อบังคับอย่างไร โดยมีจุดประสงค์หลัก คือ กำหนดรูปแบบการสื่อสาร รวมถึงการเข้ารหัสก็รวมอยู่ใน Layer นี้ด้วย

    Layer 5 Session Layer เป็น Layer ที่ควบคุมการสื่อสารจากต้นทางไปยังปลายทางแบบ End to End และคอยควบคุมช่องทางการสื่อสารในกรณีที่มีหลายๆโปรเซสต้องการรับข้อมูลพร้อมๆกันบนเครื่องเดียวกัน

    Layer 4 Transport Layer คือ Layer ที่มีหน้าที่หลักในการแบ่งข้อมูลใน Layer บนให้เหมาะกับการจัดส่งไปใน Layer ล่าง ซึ่งการแบ่งข้อมูลนี้เรียกว่า Segmentation ทำหน้าที่รวมข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับมาจาก Layer ล่าง และให้บริการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาเมื่อเกิดข้อผิดพลาดระหว่างการส่ง ทำหน้าที่ยืนยันว่าข้อมูลที่ได้ส่งไปถึงยังเครื่องปลายทางและได้รับข้อมูลถูกต้องเรียบร้อยแล้ว หน่วยของข้อมูลที่ถูกแบ่งแล้วเรียกว่า Segment



     Layer 3 Network Layer เป็น Layer ที่มีหน้าที่หลักในการส่ง packet จากเครื่องต้นทางให้ไปถึงเครื่องปลายทางด้วยความพยายามที่ดีที่สุด Layer นี้จะกำหนดให้มีการตั้ง Logical address ขึ้นเพื่อให้ระบุตัวตน Layer นี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ซึ่งที่ทำงานอยู่บน Layer นี้ คือ Router  โปรโตคอลที่ทำงานใน Layer นี้จะไม่ทราบว่า Packet จริงๆ แล้วไปถึงเครื่องปลายทางหรือไม่ หน้าที่ยืนยันว่าข้อมูลได้ไปถึงปลายทางจริงๆ แล้วคือหน้าที่ของ Transport Layer  หน่วยของ Layer นี้ คือ packet

    Layer 2 Data Link Layer คือ Layer ที่รับผิดชอบในการส่งข้อมูลบน network แต่ละประเภท เช่น Ethernet, Token Ring หรือ WAN ต่างๆ ดูแลเรื่องการห่อหุ้มข้อมูลจาก Layer บนเช่น packet IP ไว้ภายในเฟรม และส่งจากต้นทางไปยังอุปกรณ์ตัวถัดไป Layer นี้จะเข้าใจถึงกลไกและอัลกอริทึมรวมทั้ง format จอง frame ที่ต้องใช้ใน network ประเภทต่างๆ เป็ฯอย่างดี

     Layer 1 Physical Layer คือ Layer ที่เกี่ยวกับเรื่องข้อกำหนดมาตรฐานคุณสมบัติทางกายภาพของ  ฮาร์ดแวร์ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์ทั้ง 2 ระบบ สัญญาณทางไฟฟ้าและการเชื่อมต่อต่างๆ ของสายเคเบิล คอนเน็คเตอร์ต่างๆ สายที่ใช้รับข้อมูลเป็นแบบไหน ข้อต่อที่ใช้มีมาตรฐานอย่างไร ความเร็วในการส่งเท่าไหร่ Layer 1 นี้จะมองเห็นข้อมูลเป็นการรับ-ส่งทีละ bit เรียงต่อกันไปโดยไม่มีการพิจารณาเรื่องความหมายของข้อมูลเลย หากการรับส่งข้อมูลมีปัญหาเนื่องจากฮาร์ดแวร์ Layer นี้จะตรวจสอบและแจ้งข้อผิดพลาดให้ชั้นอื่นๆที่อยู่เหนือขึ้นไปทราบ

4. ประโยชน์ของระบบเครือข่ายและการสื่อสารข้อมูล
    1. สามารถจัดเก็บข้อมูลได้ง่ายและสื่อสารข้อมูลได้รวดเร็ว
    2. ทำให้มีความถูกต้องของข้อมูลมากขึ้น
    3. ทำให้มีความรวดเร็วในการทำงาน
    4. ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสาร
    5. สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ง่าย
    6. สามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันได้
    7. สามารถใช้โปรแกรมร่วมกันได้




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น